ศิลปะกับคอมพิวเตอร์
|
Computer Art หมายถึง งานศิลปะอันเกิดจากการผลิตของเครื่องคอมพิวเตอร์ใน ค.ศ. 1935 อลัน ทูริ่ง ได้สร้างจักรกลการคำนวณนี้เรียกว่า ทูริ่ง แมชชีน ซึ่งมุ่งเน้นการคำนวณต่อมาทูริ่งได้พัฒนามาเป็นคอมพิวเตอร์ เรียกว่า ACE ( Automatic Computing Engine ) ในยุคแรกคอมพิวเตอร์เริ่มใช้หลอดสุญญากาศแทนวงจรในการคำนวณ ต่อมาในทศวรรษที่ 1950 ได้มีการสร้างทรานซิลเตอร์ที่มีขนาดเล็กแทนหลอดสุญญากาศ ซึ่งคอมพิวเตอร์ในยุคนั้นมีขนาดเล็ก การทำงานของคอมพิวเตอร์จึงมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์ทางด้านคณิตศาสตร์ ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านการแพทย์ ด้านการทหาร ในด้านศิลปะได้ปรากฏแก่สายตาครั้งแรก ในการเปิดตัวของงานนิทรรศการคอมพิวเตอร์กราฟิก ต่อมา มิเชล นอล ได้ผลิตศิลปะคอมพิวเตอร์ขึ้นได้ร่วมการแสดงศิลปะคอมพิวเตอร์ในนครนิวยอร์ก งานของได้แสดงรูปโค้งที่ ซ้ำ ๆ กัน ซึ่งงานของเขามีลักษณะคล้ายกับงาน OP ARE หรือการสร้างสรรค์งานศิลปะที่ต่อเนื่องกันซึ่งคอมพิวเตอร์มีบทบาทในทุก ๆ วงการของสังคม และบทบาทที่สำคัญ คือ ด้านที่เกี่ยวกับศิลปะจะเป็นด้านการประยุกต์ใช้เพื่อการออกแบบ การใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างงานศิลปะทั้งด้านวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ที่มีตั้งแต่งานด้านทัศนศิลป์ ด้านดนตรี ด้านศิลปะการแสดง ด้านสถาปัตยกรรม รวมถึงด้านนันทนาการด้วย การประยุกต์สร้างงานศิลปะด้วยคอมพิวเตอร์มีจุดเด่น คือ ช่วยให้ศิลปะสามารถออกแบบต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำ สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ แบบที่สร้างขึ้นโดยคอมพิวเตอร์จะมีความแปลกตาน่าสนใจ เพราะสามารถสร้างได้ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว รวมถึงการสร้างเสียงต่าง ๆ ประกอบในผลงานศิลปะได้อีกด้วย
รูปที่ 4.1 ศิลปะกับคอมพิวเตอร์
ภาพศิลปะกับคอมพิวเตอร์
|
การวาดภาพในปัจจุบันนี้ใครๆ ก็สามารถวาดได้แล้วโดยไม่ต้องใช้พู่กันกับจานสี แต่จะใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกแทนภาพที่วาด ในระบบคอมพิวเตอร์กราฟิกนี้เราสามารถกำหนดสีแสง เงา รูป แบบลายเส้นที่ต้องการได้โดยง่าย ภาพโฆษณาทางโทรทัศน์หลายชิ้นก็เป็นงานจากการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิก ข้อดีของการใช้คอมพิวเตอร์วาดภาพก็คือเราสามารถแก้ไขเพิ่มเติมส่วนที่ต้องการได้ง่าย นอกจากนี้เรายังสามารถนำภาพต่าง ๆ เก็บในระบบคอมพิวเตอร์ได้โดยใช้เครื่องสแกนเนอร์ (Scanner) แล้วนำภาพเหล่านั้นมาแก้ไข
ภาพยนตร์การ์ตูนและภาพยนตร์ประเภทนิยายวิทยาศาสตร์ หรือภาพยนตร์ที่ใช้เทคนิคพิเศษต่าง ๆ ในปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์กราฟิกเข้ามาช่วยในการออกแบบและสร้างภาพเคลื่อนไหว (Computer Animation) มากขึ้น เช่น ภาพยานอวกาศที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ประเภทนิยายวิทยาศาสตร์ การใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกช่วยให้ภาพที่อยู่ในจิตนาการของมนุษย์สามารถนำออกมาทำให้ปรากฏเป็นจริงได้
ภาพเคลื่อนไหวจึงมีประโยชน์มากทั้งในระบบการศึกษา การอบรม การวิจัย และการจำลองการทำงาน เช่น จำลองกรขับรถ การขับเครื่องบิน เกมคอมพิวเตอร์หรือวิดีโอเกม ก็ใช้หลักการทำเคลื่อนไหวจึงมีประโยชน์มากทั้งในระบบการศึกษา การอบรม การวิจัย และการจำลองการทำงาน เช่น จำลองกรขับรถ การขับเครื่องบิน เกมคอมพิวเตอร์หรือวิดีโอเกม ก็ใช้หลักการทำภาพเคลื่อนไหวในคอมพิวเตอร์กราฟิกเช่นกัน
รูปที่ 4.2 ศิลปะจากคอมพิวเตอร์
การออกแบบกราฟิก
|
ความหมายองการออกแบบกราฟิก
เป็นลักษณะของการออกแบบพื้นผิว 2 มิติเพื่อเป็นสื่อกลางสำหรับถ่ายทอดข้อความความรู้สึกนึกคิด และอารมณ์จากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง เพื่อให้เข้าใจและรู้เรื่องโดยใช้ประสาทตาในการรับรู้เป็นส่วนใหญ่ งานกราฟิกมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก สิ่งที่เรามองเห็นด้วยตาจะโน้มน้าวจิตใจได้ดีกว่าการรับรู้ประเภทอื่น งานกราฟิกที่ดีต้องขึ้นอยู่กับการออกแบบที่ดีด้วย นับตั้งแต่หลักการเบื้องต้นของศิลปะ รวมถึงการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในการผลิตวัสดุกราฟิก นอกจากนี้ยังต้องมีความรู้ในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งจะสามารถนำมาใช้ในการออกแบบกราฟิกด้วย เพื่อที่จะสามารถพัฒนางานออกแบบให้ทันยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลตลอดเวลา
รูปที่ 4.3 การออกแบบกราฟิก
คุณค่าของงานกราฟิก
งานกราฟิกชิ้นที่ดีจะทำให้เห็นถึงความคิดในการออกแบบเป็นเลิศจะมีอิทธิพลโดยตรงที่จะโน้มน้าวผู้รับข้อมูลให้เกิดความสนใจและยอดรับ และในขณะเดียวกันก็ยังแสดงถึง
1. เป็นสื่อกลางในการสื่อความหมายให้เกิดความเข้าใจตรงกัน จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้อย่างถูกต้องและชัดเจน
2. สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ เกิดการศึกษากับกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี
3. ช่วยทำให้เกิดความน่าสนใจ ประทับใจ และน่าเชื่อถือแก่ผู้พบเห็น
4. ช่วยให้เกิดการกระตุ้นทางความคิดและการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
5. ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
6. ทำให้ผู้พบเห็นเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั้งทางด้านการกระทำและความคิด
เด็กควรรู้
คอมพิวเตอร์กราฟิก (Computer Graphics) หรือในโทรศัพท์บัญญัติว่า วิชาเรขภาพคอมพิวเตอร์ คือหนึ่งในศาสตร์ องค์ความรู้ของระเบียบวิธีการแก้ปัญหาเชิงคอมพิวเตอร์ (computing Methodology) ที่แก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของภาพหรือการแสดงภาพโดยเน้นการประมวลผลข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ ให้ข้อมูลนำเข้าเป็นข้อมูลตัวเลข ตังอักษร หรือสัญญาณต่างๆแทนตำแหน่งพิกัด สี รูปทรง ความสว่าง
|
ความหมายและความเป็นมาของคอมพิวเตอร์กราฟิก |
รูปที่ 4.4 ระบบคอมพิวเตอร์กับการออกแบบงานกราฟิก
หลักการทำงานและการแสดงผลของภาพคอมพิวเตอร์กราฟิก
ภาพที่เกิดบนจอคอมพิวเตอร์ เกิดจากการทำงานโหมดสี RGB ซึ่งประกอบด้วยสีแดง ( Red ) สีเขียว ( Green ) และสีน้ำเงิน ( Blue ) โดยใช้หลักยิงประจุไฟฟ้าให้เกิดการเปล่งแสงองสีทั้ง 3 สีมาผสมกัน ทำให้เกิดเป็นจุดสีสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เรียกว่า พิกเซล ( Pixel ) ซึ่งมาจากคำว่า Picture กับ Element โดยพิกเซลจะมีหลากหลายสี เมื่อนำมาวางต่อกันจะเกิดเป็นรูปภาพซึ่งภาพที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์มี 2 ประเภท คือ แบบ Rasterกับ Vector
หลักการของกราฟิกแบบ Raster
หลักการของภาพกราฟิกแบบ Raster หรือแบบ Bitmap เป็นภาพกราฟิกที่เกิดจากการเรียงตัวกันของจุดสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ หลากหลายสี ซึ่งเรียกจุดสีเหลี่ยมเล็ก ๆ นี้ว่าพิกเซล ในการสร้างภาพกราฟิกแบบ Raster จะต้องกำหนดจำนวนของพิกเซลให้กับภาพที่ต้องการ
สร้างถ้ากำหนดจำนวนพิกเซลน้อย เมื่อยายภาพให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้มองเห็นภาพเป็นสุดสีเหลี่ยมเล็ก ๆ หรือถ้ากำหนดจำนวนพิกเซลมากก็จะทำให้แฟ้มภาพมีขนาดใหญ่ ดังนั้น การกำหนดพิกเซลจึงควรกำหนดจำนวนพิกเซลให้เหมาะกับงานที่สร้าง คือ ถ้าต้องการใช้งานทั่วไปจะกำหนดจำนวนพิกเซลประมาณ 100-150ppi จำนวนพิกเซลต่อ 1ตารางนิ้ว ถ้าเป็นงานที่ต้องการความละเอียดน้อยและแฟ้มภาพมีขนาดเล็ก เช่น ภาพสำหรับใช้กับเว็บไซต์จะกำหนดพิกเซลประมาณ 72 ppi และถ้าเป็นงานพิมพ์ เช่น นิตยสารโปสเตอร์ขนาดใหญ่จะกำหนดจำนวนพิกเซลประมาณ 300-350 ppi เป็น
รูปที่ 4.5 ภาพแบบ Raster
หลักการของกราฟิกแบบ Vector
หลักการองกราฟิกแบบ Vector เป็นภาพกราฟิกที่เกิดจาการอ้างอิงความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์หรือการคำนวณ ซึ่งภาพจะมีความเป็นอิสระต่อกันโดยแยกชิ้นส่วนของภาพทั้งหมดออกเป็นเส้นตรง เส้นโค้ง รูปทรง เมื่อมีการขยายภาพความละเอียดของภาพจะไม่ลดลง แฟ้มจะมาดเล็กกว่าแบบ Raster ภาพกราฟิกแบบ Vector นิยมใช้เพื่องานสถาปัตย์ตกแต่งภายในการออกแบบต่าง ๆ เช่น การออกแบบอาคาร การออกแบบรถยนต์ การสร้างโลโก้ การสร้างานการ์ตูน เป็นต้น
รูปที่ 4.6 ภาพแบบ Vector
หลักการใช้สีและแสงในคอมพิวเตอร์
สีที่ใช้ในงานด้านกราฟิกทั่วไปมี 4 ระบบ คือ
1. RGB 2.CMYK 3.HSB 4. LAB
RGB
เป็นระบบสีที่ประกอบด้วยแม่สี 3 สีคือ สีแดง เขียว และสีน้ำ
เงิน เมื่อนำมาผสมกันทำให้เกิดสีต่าง ๆ บนจอคอมพิวเตอร์มากถึง 16.7 ล้านสี ซึ่งใกล้เคียงกับสีที่ตาเรามองเห็นแกติ สีที่ได้จากการผสมสีขึ้นอยู่กับความเข้มของสี โดยถ้าสีมีความเข้มข้นมาก เมื่อนำมาผสมกันจะทำให้เกิดเป็นสีขาว จึงเรียกระบบสีนี้ว่า แบบ Additive หรือการผสมสีแบบบวก
รูปที่ 4.7 สีแบบ RGB
CMYK
เป็นระบบสีที่ใช้กับเครื่องพิมพ์ที่พิมพ์ออกทางกระดาษหรือวัสดุผิวเรียบอื่น ๆ ซึ่งประกอบด้วยสีหลัก 4 สีคือ สีฟ้า สีม่วงแดง สีเหลือง และสีดำ ไม่ดำสนิทเนื่องจากหมึกพิมพ์มีความไม่บริสุทธิ์ จึงเป็นการผสมสีแบบลบ (Subtractive) หลักการเกิดสีองระบบนี้ คือ หมึกสีหนึ่งจะดูดกลืนแสงจากสีหนึ่งแล้วสะท้อนกลับออกมาเป็นสีต่าง ๆ เช่น สีฟ้าดูดกลืนแสงของสีม่วงแล้วสะท้อนออกมาเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งจะสังเกตได้ว่าสีที่สะท้อนออกมาจะเป็นสีหลักของระบบ RGB การเกิดสีในระบบนี้จึงตรงข้ามกับการเกิดสีในระบบ RGB
รูปที่ 4.8 สีแบบ CMYK
HSB
เป็นระบบสีแบบการมองเห็นของสายตามนุษย์ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
Hue คือ สีต่าง ๆ ที่สะท้อนออกมาจากวัตถุแล้วเข้าสู่สายตาของเรา ซึ่งมักเรียกสีตามชื่อสี เช่น สีเขียว สีแดง สีเหลือง เป็นต้น
Saturation คือ ความสดของสีโดยค่าความสดของสีจะเริ่มที่ 0 ถึง 100 ถ้ากำหนด Saturation ที่ 0 สีจะมีความสดน้อย แต่ถ้ากำหนดที่ 100 สีจะมีความสดมาก
Brightness คือ ระดับความสว่างของสี โดยค่าความสว่างของสีจะเริ่มที่ 0 ถึง 100 ถ้ากำหนดที่ 0 ความสว่างจะน้อยซึ่งจะเป็นสีดำ แต่ถ้ากำหนดที่ 100 สีจะมีความสว่างมากที่สุด
รูปที่ 4.9 สีแบบ HSB
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น